เจ้าของบ้าน ซ้อมคนขโมยกัญชา ช้ำในตาย ตำรวจไม่จับ อ้างมีสิทธิ์ปกป้องทรัพย์สิน

ลุงย่อง ลักกัญชาเพื่อนบ้าน โดนกระทืบ ช้ำในตาย ตำรวจไม่ทำคดี อ้างเข้าไปลักขโมยของบ้านคนอื่น เจ้าของบ้าน สามารถคุ้มครองปกป้องสินทรัพย์ได้

(6 เดือนธันวาคม65) เมื่อเวลา 17.00 น. นางวรรณา อายุ 55 ปี ชาวบ้านพรเจริญ อ. วังสามหมอ จ. อุดรธานี พร้อมด้วยญาติ รวม 7 คนเข้าพบ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณี นายคำดี อายุ 49 ปี น้องชายเข้าไปลักขโมยกัญชา ของเพื่อนบ้าน ถูกเจ้าของบ้านจับได้ และ ตบตีจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

2 ช้ำในตาย

นางวรรณา เล่าว่า เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อขณะราว 22.00 น. ของคืนวันที่ 15 พ.ย. 2565

นายคำดี เป็นพ่อม่าย มีลูกชายอายุ 18 ปี 1 คน อาศัยอยู่กระต๊อบทุ่งนาของตนเอง ตนสารภาพว่า นายคำดี เป็นคนเสพกัญชา ตั้งแต่วัยรุ่น ได้เข้าไปลักขโมยต้นกัญชา ของเพื่อนบ้านจริง และ ถูกเจ้าของบ้านจับได้ และ ถูกรุมทำร้ายร่างกาย ซึ่งนายคำดี พยายามที่จะคลานออกมาข้างนอกบ้าน แม้กระนั้น เจ้าของบ้านก็ตามมา กระทืบซ้ำหลายครั้ง กระทั่งนายคำดีนิ่งแน่ไป

ซึ่งหลังจากนั้น มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และ ผู้ใหญ่บ้าน มาระงับเหตุ และ คุมตัวนายคำดี ไปที่ โรงพักภูธรวังสามหมอ โดนแจ้งข้อกล่าวหาทะเลาะวิวาท และ จับนายคำดีติดคุกเป็นเวลา 1 คืน ก่อนจะเทียบปรับ 500 บาท และ ปล่อยตัวในวันที่ 16 พ.ย.

หลังจากถูกปล่อยตัว นายคำดี ได้กลับมาที่บ้าน หลังจากนั้น มาก็นอนซมอยู่ที่บ้าน มาตลอด ไม่ออกมาจากบ้าน เพราะว่าร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก และ รับประทานข้าวปลาอาหารมิได้ คลื่นไส้เป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด แม้กระนั้นพี่น้องไม่รู้ เพราะว่า นายคำดี มิได้ออกจากบ้าน จนถึง วันที่ 23 พ.ย. มีเพื่อนบ้านมาบอกว่า นายคำดีอาการไม่ดี พี่น้องก็เลยพากันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังสามหมอ นอนพักรักษาตัวอยู่ราว 3 – 4 วัน

ต่อจากนั้นก็กลับไปอยู่ที่บ้านวันที่ 27 พ.ย. เพราะว่า นายคำดี ปฎิเสธการรักษา ไม่อยากให้แพทย์ ใส่สายยางให้อาหารทางจมูก ซึ่งในเวลานั้นหมอมิได้รับข้อมูล ว่า นายคำดี ถูกทำร้ายร่างกายมา จนถึงเสียชีวิต ช่วงวันที่ 1 ธ.ค. และ ทำการการเผาศพวันที่ 2 ธ.ค.

หลังจาก นายคำดี เข้าไปลักขโมยกัญชา แล้วโดนเจ้าของบ้านซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) กระทั่งบาดเจ็บอย่างหนัก และ ไปนอนรักษาตัวที่บ้าน เป็นเวลานานกว่า 2 อาทิตย์ ไม่สามารถเดิน หรือ ทานอาหารได้ หลังต่อจากนั้นก็เสียชีวิต

แม้กระนั้นพอไปแจ้งตำรวจ กลับไม่ทำคดีให้ โดยอ้างว่า นายคำดี เข้าไปลักขโมยของที่บ้านของคนอื่น ด้วยเหตุนี้เจ้าของบ้าน ก็เลยสามารถคุ้มครองปกป้องสินทรัพย์ของตนได้

และ มีหลักฐานจากภาพวงจรปิด เวลาที่ นายคำดี ไปลักขโมยกัญชาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ซึ่งพวกตนรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่า นายคำดี ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาก่อน อีกทั้งหลังจากที่ถูกซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) มา ก็เกิดลักษณะการเจ็บเจ็บไข้กระทั่งเสียชีวิต

ก่อนหน้าที่ผ่านมา พวกตนเคยไปพบคู่ความแล้ว แม้กระนั้นตกลงกันมิได้ ก็เลยไปพบตำรวจ เพื่อที่จะแจ้งเหตุฟ้อง กับคนทำร้ายร่างกาย นายคำดี ตำรวจก็พูดข่มขู่ฝ่ายของตนเอง กระทั่งกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความหวาดกลัว และ ไม่กล้าที่จะแจ้งเหตุ

3 ช้ำในตาย

จากเหตุการณ์ เจ้าของบ้าน ซ้อมคนลักขโมยกัญชากระทั่ง ช้ำในตาย

นางวรรณา ยังเล่าอีกว่า ตั้งแต่ถูกทำร้ายร่างกายกระทั่งเจ็บ คู่ปรับ ไม่เคยมาเยี่ยม ถามไถ่ หรือ ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรเลย ตำรวจติดต่อไปเพื่อที่จะมาไกล่เกลี่ย ก็ไม่ยอมมา จนถึง นายคำดี เสียชีวิตไป

คู่ปรับยังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าหากอยากได้เงินก็ไปฟ้องคดีเอา เพราะว่าจะฟ้องคดีกลับ ที่มาลักขโมยต้นกัญชา ราคาเป็นแสนด้วย ซึ่งหลังจากที่ นายคำดี เสียชีวิตแล้ว ได้พยายามที่จะไปติดต่อกับตำรวจ แม้กระนั้นตำรวจกลับพูดว่า พวกตนผิด

เพราะเหตุว่าไปลักขโมยในยามวิกาล ซึ่งในเวลานั้น ตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แม้กระนั้นก็สารภาพว่าคนตายไปลักขโมยจริง และ ไม่มีหนทางช่วยเหลือ รู้สึกน้อยใจตำรวจ

อ้างแต่เพียงว่า พวกตนผิดทุกอย่าง คนตายทั้งคน ซึ่งตำรวจก็ยังรับรองว่าฝ่ายตนผิด ซึ่งตนรู้สึกว่า เพราะเหตุใดฆ่าคนตายทั้งคน กลับปราศจากความผิด เพราะเหตุใดตำรวจไม่ให้ความช่วยเหลือ ก็เลยมาร้องขอความยุติธรรม กับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี

ด้าน พล.ต.ต.พิษณู อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อดรธานี กล่าวมาว่า พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งตอนนี้ พึ่งได้รับฟังฝ่ายเดียว แม้กระนั้นจากข้อมูลที่ได้รับฟังเชื่อว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหา คู่ความได้ คือ ฆ่าคนอื่นโดยไม่เจตนา หรือ ทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่เสียชีวิต

จะสั่งให้พนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวน สภ.วังสามหมอ รีบดำเนินงานไต่สวน สักขีพยาน ทั้งสองฝ่าย

และ หากพี่น้องคนตายเชื่อว่า มีสักขีพยานอื่น หรือหลักฐานอื่น ก็เอามาให้ตำรวจ นอกเหนือจากนี้ผลวิเคราะห์การตายของแพทย์ ก็เป็นหลักฐาน ซึ่งจำเป็นต้องไปสอบปากคำคำให้การ จากแพทย์ที่ทำงานรักษา ขอรับรองว่าตำรวจจำเป็นต้องรับแจ้งเหตุแน่นอน และ ให้ทั้งสองฝ่าย ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันบนศาล